วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

โรคไข้อีโบล่า

โรคไข้อีโบลา

คือโรคไข้เลือดออกจากไวรัสอีโบลา ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก อุบัติใหม่ในแอฟริกาเมื่อปี 2519 ขณะที่โรคไข้เลือดออกในเกาหลีเกิดจากไวรัสฮันตาน ส่วนโรคไข้เลือดออกในไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ปากีสถาน ฯลฯ เกิดจากไวรัสเด็งกี
     
       การระบาดครั้งแรกของไวรัสอีโบลา
     
       เมื่อปี 2519 มีการระบาดเป็นครั้งแรกของโรคไข้เลือดออกชนิดใหม่ที่อุบัติใหม่อีกชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศซูดานและประเทศซาอีร์ ชื่อ "อีโบลา" ชื่อนี้ได้มาจากชื่อแม่น้ำอยู่ตรงบริเวณที่พบโรคในตอนเริ่มแรกคือ ที่แถบลุ่มแม่น้ำอีโบลา ในประเทศซาอีร์ ก็เลยตั้งชื่อโรคและชื่อของไวรัสตัวก่อเหตุตามชื่อแม่น้ำดังกล่าว
     
       ผู้ป่วยดรรชนี (Index case) รายแรกของโลก 26 สิงหาคม 2519 ที่ประเทศ ซาอีร์ แอฟริกา
     
       ผู้ป่วยรายแรกซึ่งถือว่าเป็นผู้ป่วยดรรชนีเป็นชายอายุ 44 ปีเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนมิชชันนารี ไปขอรับการรักษาที่ “โรงพยาบาลมิชชั่นนารียัมบูกุ” ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 120 เตียง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2519 ด้วยอาการไข้ซึ่งคิดว่าเป็นไข้จับสั่น (มาลาเรีย) และได้รับการรักษาโดยการฉีดคลอโรควิน ซึ่งมีอาการทุเลาขึ้น
     
       ในเวลาต่อมาภายใน 1 สัปดาห์มีคนไข้ในโรงพยาบาลได้รับการฉีดยาโดยใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนไข้รายดรรชนีให้หลับ (ปกติเราจะไม่ใช้เข็มฉีดยาที่ยังไม่ได้ฆ่าเชื้อร่วมกัน) หลังจากนั้นก็ป่วยเป็นไข้เลือดออกอีกหลายคน บางรายไม่ได้รับการฉีดยาแต่เป็นผู้ที่ไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะป่วยอยู่ระหว่าง 4 สัปดาห์แรกของการระบาดหลังจากนั้นโรงพยาบาลจึงได้ปิดการให้บริการเนื่องจากแพทย์ 11 นาย จาก 17 นาย ที่ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ป่วยและตาย
     
       โรคนี้แพร่โรคติดต่อกันได้จากการสัมผัสกันด้วย เรียกว่ามีการแพร่ติดต่อ จากคน-สู่-คน
     
       ผู้ป่วยเกิดขึ้นทุกกลุ่มอายุและทั้งสองเพศ แต่สตรีอายุระหว่าง 15-29 ปี จะเป็นกลุ่มที่มีความชุก อัตราป่วยชุกกว่ากลุ่มอื่น
     
       สรุปได้ว่าการแพร่เชื้อจากผู้ป่วยเกิดจากการถูกเข็มแทงและของมีคมปนเปื้อนเชื้อทำให้เกิดบาดแผลและการแต่งศพ และแพร่โรคติดต่อจาก ผู้ป่วย-สู่-ผู้ป่วย จากการสัมผัสใกล้ชิดได้ด้วย อย่าลืมว่า โรคไข้เลือดออกเด็งกีที่พบในบ้านเรา แพร่ติดต่อได้ เฉพาะโดนยุงลายบ้านที่มีเชื้อกัดเท่านั้น
     
       ประมาณ 5 สัปดาห์ภายหลังการระบาดครั้งแรกที่ยัมบูกุประเทศซาอีร์ นพ.ซูโร ได้ศึกษาลักษณะทางเวชกรรมของผู้ป่วย 14 ราย ดังนี้
     
       ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ปวดท้อง เจ็บคอ หน้าตาไร้ความรู้สึก มีอาการอ่อนเพลียอย่างมาก ในบางรายประมาณวันที่ 5 ของระยะเฉียบพลันของโรค จะมีผื่นขึ้นตามตัวและมีเลือดออกด้วย มีเลือดออกที่เยื่อบุตา มีแผลตามริมฝีปากและในช่องปาก มีเลือดออกจากแผลดังกล่าว และ ออกจากเหงือก อาเจียนเป็นเลือด และ ถ่ายอุจจาระดำเลือด กำเดาไหล มีเลือดออกจากช่องหู ปัสสาวะเป็นเลือด และ บางรายมีอาการตกเลือดหลังคลอดด้วย ในรายที่มีเลือดออกมักจะถึงแก่กรรมภายใน 3 สัปดาห์ผู้ป่วยในระยะหลังของการระบาด อาการเลือดออกจะมีความรุนแรงน้อยลงกว่ารายแรกๆ ของการระบาด ในรายที่มีเลือดออกไม่รุนแรง หรือไม่มีเลือดออกเลย มักจะไม่ถึงแก่กรรม แต่ก็ไม่ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด ว่ามีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือดหรือไม่ เนื่องจากเป็นการฉุกเฉิน และเป็นการศึกษาในสนาม อุปกรณ์ในการศึกษาวิจัยไม่ได้มีครบครัน
     
       จากการสำรวจทุกบ้านพบว่ามีโรคระบาดอยู่ 55 ตำบล (ทั้งหมดมี 550 ตำบล) โรคนี้ไม่เคยเป็นที่รู้จักของชาวบ้านมาก่อนเลย
     
       ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้น ก็สามารถแยกเชื้อไวรัสที่มีรูปร่างคล้ายไวรัสมาร์บวร์กแต่ก็แสดงความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน โดยปฏิกิริยาน้ำเหลือง
     
       ไวรัสที่พบใหม่นี้ จึงได้รับการขนานนามว่า “ไวรัสอีโบลา (Ebola virus)” ตามชื่อแม่น้ำที่อยู่ในถิ่นที่มีการระบาด และ แยกเชื้อไวรัสได้ การแยกเชื้อไวรัสแยกได้จากเลือดของผู้ป่วย 8 รายจาก 10 รายโดยเพาะในเซลล์เพาะพันธุ์เวโร ไวรัสนี้จึงเรียกว่าไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ซาอีร์หรือ Ebola-Z


ภาพจุลทรรศน์อิเล็กตรอนของไวรัส อีโบล่า รูปพรรณเป็นเส้นด้าย (จาก utmb.edu)

       จากการที่เพาะแยกไวรัสได้ต่างสายพันธุ์กัน ทำให้แน่ใจได้ว่า การระบาดในประเทศซูดานและในประเทศซาอีร์นั้น ย่อมมิใช่การแพร่ของโรคจากประเทศแรกเข้าไปยังประเทศหลัง ต่างคนต่างเกิด
     
       การระบาดของโรคลดความรุนแรงลงเมื่อมีการหยุดการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน (กระบอกฉีดยาและเข็มขาดแคลนจึงมีการนำไปใช้ร่วมกันหลายคนหลายครั้ง) และยังมีมาตรการแยกกักกันผู้ป่วยมิให้ออกนอกหมู่บ้านการใช้อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้ออย่างมิดชิดและถูกต้องของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล การกำจัดวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อที่ถูกวิธี ก็ทำให้สามารถป้องกันการติดเชื้อและการแพร่เชื้อต่อไปอีกได้ การติดต่อส่วนใหญ่จะติดต่อจากเลือด การติดจากละอองฝอยของน้ำมูกน้ำลายอาจเกิดขึ้นได้แต่มีโอกาสน้อยกว่า และไม่ติดกันโดยทางอากาศหายใจ (air-borne)ไม่สามารถแยกไวรัสได้จากแมลง เช่น ตัวเรือด (Cimexhemipterus F.) ยุงคิวเล็กซ์และยุงแมนโซเนีย ซีรัมของสัตว์ต่างๆที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เช่น สุกร โค ค้างคาว หนู กระรอกลิงไม่พบว่ามีแอนติบอดีต่อไวรัสอีโบลา (หมายความว่าไม่มีการติดเชื้อ) แต่อย่างใด จึงหาแหล่งรังเก็บเชื้อโรคในธรรมชาติไม่ได้ หรือแหล่งรังโรค อยู่ใหนยังเป็นปริศนา
     
       การระบาดครั้งแรกในประเทศซูดานมีผู้ป่วย 284 คนโดยมีอัตราป่วย/ตายเท่ากับร้อยละ 53 เชื้อที่ก่อโรคเป็น ไวรัสเรียกชื่อจำเพาะมากขึ้นว่าอีโบลา-ซูดานหรือสายพันธุ์ซูดาน Ebola-S
     
       อีกไม่กี่เดือนต่อมาโรคก็อุบัติขึ้นที่เมืองยัมบูกุประเทศซาอีร์อีก เชื้อก่อโรคเคือสายพันธุ์ “อีโบลา-ซาอีร์” มีผู้ป่วยในการระบาดครั้งแรก 318 คนอัตราป่วย/ตายสูงกว่า การระบาดในซูดานคือสูงถึงร้อยละ 88 แม้ว่าจะมีการศึกษาค้นคว้าอย่างมากก็ยังพิสูจน์แหล่งรังโรคที่แน่ชัดไม่ได้อยู่ดี
     
       การระบาดของโรคไข้เลือดออกอีโบลารายงานจากประเทศไอวอรีโคสท์ในปี 2537 โดยมีสตรี นักชาติพันธุ์วิทยา ทำการผ่าตรวจซากลิงชิมแพนซีที่ล้มตายไม่ทราบสาเหตุที่ในป่าชื่อป่าตาย (Tai Forest) ในประเทศไอวอรีโคสท์ เธอจึงติดเชื้อโดยบังเอิญและป่วย สายพันธุ์นี้จึงให้ชื่อว่าอีโบลาโคทดีวัวร์ (ชื่อประเทศไอวอรีโคสท์ที่เป็นภาษาฝรั่งเศส)
     
       ในปี 2532 มีการระบาดของไวรัสอีโบลาในฝูงลิงแสมที่กักกันสัตว์ทดลองที่ไปจากต่างประเทศ ที่สถานีกักกันโรคเมืองเรสตัน รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา เป็นลิงแสมที่ส่งไปจากฟาร์มเฟอร์ไลท์ ชานกรุงมะนิลา เป็นลิงที่เพาะไว้จำหน่ายเพื่อใช้เป็นสัตว์ทดลองที่ฟาร์มแห่งหนึ่งบนเกาะมินดาเนา ลิงจะถูกกักกันไว้ก่อนส่งต่อไปยังห้องปฏิบัติการต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่นำโรคจากป่ามาแพร่ในเมือง โดยเฉพาะแพร่สู่นักวิจัยเป็นเบื้องต้น
     
       ในระหว่างกักกันลิงได้ล้มเจ็บลงหลายตัวเกือบทั้งฝูง และมีอัตราตายสูง การสอบสวนและตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการพบว่าเป็น “ไวรัสอีโบลา” หากลิงติดเชื้อ โรคจะเกิดแก่ลิงที่มีความรุนแรงมาก อัตราตายสูง แม้ว่าจะก่อให้เกิดการติดเชื้อในมนุษย์ได้เหมือนกัน (พิสูจน์ได้จากการตรวจเลือดผู้สัมผัสใกล้ชิดเช่นผู้เลี้ยงและสัตวแพทย์ผู้ดูแลสุขภาพลิง) แต่กลับไม่ก่อโรคที่มีอาการป่วยดังเช่นสายพันธุ์ซาอีร์และสายพันธุ์ซูดานจึงเรียกชื่อสายพันธุ์ไม่นี้ ว่า “สายพันธุ์เรสตัน” Ebola-R
     
       นอกจากนั้นก็มีรายงานการระบาดของไวรัสอีโบลาสายพันธุ์เรสตันในลิงแสมที่สถานีกักกันสัตว์ในรัฐเท็กซัส และเป็นลิงแสมที่นำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์เช่นกัน อีโบลาเรสตันนี่เองที่พบว่าไประบาดอยู่ในสุกรฟิลิปปินส์เมื่อ 2-4 ปีก่อน เหมือนกัน ไวรัสอีโบลาข้ามจากลิงไปหาสุกรได้อย่างไร ก็ยังเป็นปริศนาคาใจกันอยู่
     
       ในปี 2557 เกิดมีการระบาดของอีโบล่า ในแอฟริกาตะวันตกขึ้นอีกจะขอเล่าโดยสังเขปดังนี้
     
       เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2557 องค์การอนามัยโลกได้รับแจ้งจากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศกีนีว่ามีการระบาดของโรคไข้เลือดออกอีโบลาในเขตป่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ จนถึงวันที่ 25 มีนาคม มีรายงานผู้ป่วยแล้ว 86 ราย ตาย 60 ราย (อัตราป่วย/ตายเท่ากับ ๖๙.๗%) มีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์-สาธารณสุขป่วยและตายด้วย 4 ราย และยังมีรายงานผู้ป่วยที่เข้าข่ายสงสัยในประเทศที่มีเขตแดนติดต่อกันอีกหลายรายที่กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ชันสูตร ค้นคว้าอยู่อีกหลายราย คือ ในประเทศ ไลเบเรียและ เซียยร่า เลโอนโดยได้ส่งเลือดตัวอย่างไปชันสูตรโดยวิธีพีซีอาร์ที่หอชันสูตรโรคติดเชื้อระหว่างประเทศที่ เมืองลียอง ประเทศฝรั่งเศส ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ ซาอีร์



       แผนที่ประเทศกินี ตรงสีทึบคือบริเวณที่โรคระบาด ที่รายงานเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่สีจางคืออยู่ในระหว่างการสอบสวนโรค
     
       โรคแพร่ระบาดต่อไปในประเทศกีนี และไปยังประเทศใกล้เคียงดังนี้
     
       สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัส Ebola วันที่ 17 เมษายน 2557 ในทวีปแอฟริกา ได้แก่:
     
       ประเทศ Guinea: มีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการเข้าได้กับ Ebola virus Disease จำนวน 202 ราย เสียชีวิต 125 รายและผู้ป่วยยืนยัน 108 ราย
     
       ประเทศ Liberia: มีรายงานผู้ป่วย ที่มีอาการเข้าได้กับ Ebola Virus Disease จำนวน 27 ราย เสียชีวิต 13 รายและผู้ป่วยยืนยัน 6 ราย และ
     
       ประเทศ Mali: มีรายงานผู้ป่วยเข้าข่ายสงสัย 6 ราย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อ
     
       องค์การอนามัยโลก: ไม่แนะนำให้มีการจำกัดการเดินทางหรือการค้ากับประเทศกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน แต่อย่างใด
     
       องค์การอนามัยโลกรายงานเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2557 ว่า ผู้ป่วยอีโบลาในประเทศกินีเพิ่มขึ้นอีก รวมจำนวนสะสมได้ 208 ราย ตาย 136 ราย เป็นบุคลากรทางแพทย์และสาธารณสุข 25 ราย ตาย 16 ราย
     
       การประเมินความเสี่ยงของประเทศไทย: สำนักโรคอุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประเมินว่า การแพร่กระจายของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา อาจมาสู่ประเทศไทยได้ 2 วิธี ได้แก่ จากการนำเข้าสัตว์ที่ อาจเป็นแหล่งรังโรค เช่น สัตว์ป่า ลิงชิมแปนซี หรือการแพร่เชื้อของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา จากประเทศนี้จะทำให้มีอาการป่วยโดยที่มีการระบาดโดยผ่านผู้เดินทาง เข้ามาประเทศไทยจากประเทศที่มีโรคกำลังระบาด
     
       โรคนี้ ยังไม่มียาหรือปฏิชีวนะรักษาที่จำเพาะ ต้องรักษาแบบประคับประคองและรักษาตามอาการ และยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค
     
       มาตรการกระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย
     
       1.ติดตามสถานการณ์ความคืบหน้า จากองค์การอนามัยโลกโดยสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
     
       2.สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศเฝ้าระวังผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
     
       3.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตรียมความพร้อมในการตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
     

โรคตาแดง

โรคตาแดง (Conjunctivitis)

                  โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เป็นการอักเสบของเยื่อบุตา(conjuntiva)ที่คลุมหนังตาบนและล่างรวมเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว โรคตาแดงอาจจะเป็นแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส มักจะติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวโดยมากใช้เวลาหาย 2 สัปดาห์ ตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง การใช้contact lens หรือน้ำยาล้างตาก็เป็นสาเหตุของตาแดงเรื้อรัง
อาการของโรคตาแดง

                  แพทย์จะถามถึงยาที่ท่านรับประทาน ยาหยอดตา เลนส์ น้ำยาล้างตา ระยะเวลาที่เป็น อาการที่สำคัญคือ

คันตา เป็นอาการที่สำคัญของผู้ป่วยตาแดงที่เกิดจากภูมิแพ้ อาการคันอาจจะเป็นมากหรือน้อย คนที่เป็นโรคตาแดงโดยที่ไม่มีอาการคันไม่ใช่เกิดจากโรคภูมิแพ้ นอกจากนั้นอาจจะมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเช่นหอบหืด ผื่นแพ้
ขี้ตา ลักษณะของขี้ตาก็ช่วยบอกสาเหตุของโรคตาแดง
ขี้ตาใสเหมือนน้ำตามักจะเกิดจากไวรัสหรือโรคภูมิแพ้
ขี้ตาเป็นเมือกขาวมักจะเกิดจากภูมิแพ้หรือตาแห้ง
ขี้ตาเป็นหนองมักจะร่วมกับมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้าทำให้เปิดตาลำบากสาเหตุมักจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
    3. ตาแดงเป็นข้างหนึ่งหรือสองข้าง

เป็นพร้อมกันสองข้างโดยมากมักจะเกิดจากภูมิแพ้
เป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยเป็นสองข้างสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อเช่นแบคทีเรีย ไวรัส หรือ Chlamydia
ผู้ที่มีโรคตาแดงข้างเดียวแบบเรื้อรัง ชนิดนี้ต้องส่งปรึกาแพทย์
    4. อาการปวดตาหรือมองแสงจ้าไม่ได้มักจะเกิดจากโรคชนิดอื่นเช่นต้อหินม่านตาอักเสบเป็นต้นดังนั้นหากมีตาแดงร่วมกับปวดตาหรือมองแสงไม่ได้ต้องรีบพบแพทย์

    5. ตามัว แม้ว่ากระพริบตาแล้วก็ยังมัวอยู่ โรคตาแดงมักจะเห็นปกติหากมีอาการตามัวร่วมกับตาแดงต้องปรึกษาแพทย์

    6. ประวัติอื่น การเป็นหวัด การใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม เครื่องสำอาง โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ


การตรวจร่างกาย

คุณลองคลำต่อมน้ำเหลืองรอบหู หากคลำได้อาจจะเป็นโรคติดเชื้อไวรัส หรือจากสัมผัสสารระคายเคือง ส่วนเชื้อแบคทีเรียมักจะคลำไม่ได้ต่อมน้ำเหลือง
ในรายที่เป็นไม่มากไม่ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติม
ในรายที่เป็นรุนแรง เป็นๆหายๆ หรือเป็นเรื้อรังควรจะต้องตรวจเพาะเชื้อจากขี้ตา
การนำขี้ตามาย้อมหาตัวเชื้อก็พอจะบอกสาเหตุของโรคตาแดง
การป้องกันโรคตาแดง
อย่าใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น
อย่าใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน
ล้างมือบ่อยๆ อย่าเอามือเข้าตา
ใส่แว่นตากันถ้าต้องเจอสารเคมี
อย่าใช้ยาหยอดตาของผู้อื่น
อย่าว่ายน้ำในสระที่ไม่ได้ใส่คลอรีน
ยาเมื่อไม่ได้ใช้ให้ทิ้ง
อย่าสัมผัสมือ
เช็ดลูกบิดด้วยน้ำสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค
การักษาตาแดงด้วยตนเอง
ประคบเย็นวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ10-15 นาที
ล้างมือบ่อยๆ
อย่าขยี้ตาเพราะจะทำให้ตาระคายมากขึ้น
ใส่แว่นกันแดด หากมองแสงสว่างไม่ได้
อย่าใส่ contact lens ช่วยที่มีตาแดง
เปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน เปลี่ยนหมอนทุก 2 วัน
หากมีอาการต่อไปนี้ให้รีบพบแพทย์
ตามัวลง
ปวดตามากขึ้น
กรอกตาแล้วปวด
ไข้
ให้ยาไปแล้ว 48 ชั่วโมงไม่ดีขึ้น
น้ำตายังไหลอยู่แม้ว่าจะได้ยาครบแล้ว
แพ้แสงอย่างมาก
การหยอดยาหยอดตา
ล้างมือก่อนหยอดตาทุกครั้ง
ดึงหนังตาล่างลง
ตาเหลือกมองเพดาน
หยอดตาตรงกลางเปลือกตาล่าง
ปิดตาและกรอกตาไปมาเพื่อให้ยากระจาย การหยอดครีมให้หยอดจากหัวตาบีบไปปลายตา ปิดตาและกรอกตาไปมา
เช็ดยาที่ล้นออกมา
ล้างมือหลังหยอดเสร็จ

โรคตาแดงจากการติดเชื้อไวรัส

                  เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ adenovirus มักจะระบาดในชุมชน โรงเรียน ที่ทำงาน การติดต่อมักจะติดต่อโดยการสัมผัสทางมือ เครื่องมือ สระว่ายน้ำ

                  อาการที่สำคัญคือตาแดงเฉียบพลัน น้ำตาไหล เยื่อบุตาบวม ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต เคืองตาเล็กน้อย บางรายอาจจะมีเลือดออกที่ตาขาว อาจจะเป็นข้างใดข้างหนึ่งก่อนแล้วค่อยลามมาอีกข้างหนึ่ง

                  เนื่องจากโรคนี้ติดต่อโดยการสัมผัสจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงสัมผัสกับคนอื่นเป็นเวลา 7 วันนับตั้งแต่เกิดอาการ การรักษาเป็นเพียงประคับประคองโดยการประคบเย็น ยาหยอดตา ยาปฏิชีวนะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ควรใช้ยาที่มีส่วนผสมของ steroid เพราะจะทำให้หายช้า

ตาแดงจากโรคภูมิแพ้ Allergic Conjunctivitis

                 เกิดจากการได้รับสารภูมิแพ้จากอากาศ มักจะเป็นฤดูกาล มักจะเป็นสองข้างมีอาการคันตาเคืองตา น้ำตาไหล ตาแดงตาบวม การรักษาต้องหลีกเลี่ยงสารภูมิแพ้ ประคบเย็น ยาหยอดตาแก้แพ้ ยาหยอดตาลดการอักเสบ ยาแก้แพ้ชนิดรับประทาน

ตาแดงจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Bacterial Conjunctivitis

                 ตาแดงจากเชื้อแบคทีเรียมักจะเป็นอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยเริ่มต้นมีขี้ตาเป็นหนอง ตาแดงอย่างรวดเร็ว กดตาจะเจ็บ เคืองตามาก ตาบวม หนังตาบวม เชื้อที่เป็นสาเหตุคือเชื้อหนองใน N. gonorrhoeae และเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis ตาแดงจากเชื้อหนองในมักจะเกิดในเด็กทารกมักจะเกิดภายใน 3-5 วันหลังจากคลอดโดยได้รับเชื้อจากแม่ขณะคลอด การรักษาต้องหยอดตาด้วยยาปฏิชีวนะ ล้างตาด้วยน้ำเกลือ ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด ceftriaxone ciprofloxacin Spectinomycin

                 สำหรับเด็กตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียมักจะเป็นเชื้อ Streptococcus pneumoniae, Haemophilus influenzae ส่วนผู้ใหญ่จะเป็นเชื้อ Staphylococcus aureus อาการของตาแดงจะมีความรุนแรงน้อยกว่าเชื้อหนองใน จะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตาเขียว ตาบวม หนังตาบวม

                 การวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการเก็บหนองมาย้อมและเพาะเชื้อ

                 การรักษาต้องเลือกยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่เป็นสาเหตุยาที่นิยม ได้แก่ erythromycin ointment และ bacitracin-polymyxin B ointment หรือ trimethoprim-polymyxin B ,gentamicin (Garamycin), tobramycin (Tobrex) neomycin,10 percent sulfacetamide solution

ตาแดงเรื้อรังจากเชื้อแบคทีเรีย

                 สาเหตุเกิดจากเชื้อ staohylococcus ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตาร้อนในตา รู้สึกเหมือนมีขี้ผงในตา มีสะเก็ดเกาะตาในตอนเช้า มักจะมีหนังตาอักเสบ หรือมีตากุ้งยิงเป็นๆหายๆ การรักษาต้องดูแลความสะอาดของตาให้ดี ประคบอุ่นที่ขอบเปลือกตา หยอดยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม

ตาแดงจากเชื้อ Chlamydial

                 เด็กจะได้เชื้อนี้จากช่องคลอด ส่วนผู้ใหญ่จะได้รับเชื้อนี้จากสารหลังจากช่องคลอด ผู้ป่วยจะมีอาการเคืองตา ตาแดง ขี้ตาเป็นหนองโดยมากเป็นข้างเดียวหรืออาจจะเป็นสองข้าง การรักษาจะใช้ยากลุ่ม tetracyclin หรือ erythromycin เป็นเวลาสองสัปดาห์

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

หนังสือดีเด่น ประจำปี 2557

        

วันนี้ (26ก.พ.) ที่ห้องประชุมใหญ่ หอสมุดแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แถลงผลการประกวดหนังสือดีเด่นประจำปี 2557 โดย ดร.กมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.ได้จัดประกวดหนังสือดีเด่นมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ซึ่งได้ให้ความสำคัญของหนังสือและการอ่านว่าเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาความคิดสติปัญญา ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนทุกวัย  โดยจากการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากรไทยของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าเวลาเฉลี่ยที่ใช้อ่านหนังสือนอกเวลาเรียน/หรือนอกเวลาทำงาน ของคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปจากน้อยไปหามากคืออ่าน 31 นาทีถึง 46นาทีต่อวัน หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยอ่านวันละประมาณ 39 นาทีซึ่งประเด็นนี้อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าคนไทยอ่านหนังสือมากขึ้นเท่าไหร่  แต่เป้าหมายหลักคือความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ขับเคลื่อนให้มีการผลิตหนังสือดีมีคุณภาพ และมีสาระประโยชน์เพิ่มมากขึ้น
 
ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาตัดสินการประกวดหนังสือดีเด่น กล่าวว่า  คณะกรรมการมีความตั้งใจ ทุ่มเททำงานเพื่อวิเคราะห์หนังสือที่ส่งเข้าประกวดในประเด็นต่างๆด้วยความรอบคอบ และยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และเกณฑ์การประกวดหนังสือ ซึ่งในปีนี้มีจำนวนหนังสือที่ผู้ผลิตหนังสือส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 473 เรื่อง และการคัดสรรหนังสือทุกประเภทที่ส่งเข้าประกวดได้ใช้วิธีระดมความคิดเห็น อภิปราย และสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งกลุ่มประชุมตามประเภทของหนังสือจนได้ข้อสรุปเป็นฉันทามติให้ปี 2557 มีหนังสือสมควรได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น50 เรื่อง แบ่งเป็น รางวัลดีเด่น 11 เรื่องและรางวัลชมเชย 39 เรื่อง ดังนี้ หนังสือสารคดี รางวัลดีเด่นได้แก่  รูปแบบบ้านเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์ ผู้ประพันธ์ ระวิวรรณ โอฬารรัตน์มณี รางวัลชมเชย มี 3 รางวัล ได้แก่ นกน่ารักน่ารู้  ผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์คติเมื่อวัยเด็ก When I Was Yong ผู้ประพันธ์ อเนก นาวิกมูล และหน้าหนึ่งในสยาม ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ ผู้ประพันธ์ ไกรฤกษ์ นานา 






หนังสือนวนิยาย รางวัลดีเด่น ได้แก่ เรื่องจับต้นมาชนปลายผู้ประพันธ์ ชมัยพร แสงกระจ่าง รางวัลชมเชย มี 3 รางวัล ได้แก่ ผีเสื้อที่บินข้ามบึงผู้ประพันธ์ อุรุดา โควินท์  ไม้นอกกอผู้ประพันธ์ ช่อมณี และอันเกิดแต่ดวงจิตอธิษฐาน ผู้ประพันธ์ อิสราหนังสือกวีนิพนธ์  รางวัลดีเด่น ได้แก่รวมบทกวี โคลงบ้านโคลงเมือง ผู้ประพันธ์ นายทิวา รางวัลชมเชย มี 3 รางวัล ได้แก่ ผู้กลับใจ ผู้ประพันธ์ เวทิน ศันสนียเวทย์ฝากหัวใจในแผ่นดิน  ผู้ประพันธ์ นภาลัยสุวรรณธาดา และรวมบทกวีก่อนกาลจักกลายกลืน ผู้ประพันธ์ ชมพร เพชรอนันต์กุล
 
หนังสือรวมเรื่องสั้นรางวัลดีเด่น ได้แก่ ความทรงจำบางอย่างช่างรางเลือน ผู้ประพันธ์ รัชศักดิ์จิรวัฒน์ รางวัลชมเชย มี 3รางวัล ได้แก่ ชายผู้อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำ ผู้ประพันธ์ รัตนชัยมานะบุตร เสือกินคน ผู้ประพันธ์ สาคร พูลสุข และหญิงเสาและเรื่องราวอื่น ผู้ประพันธ์ กล้า สมุทรวณิช





หนังสือเด็กเล็กอายุ 3-5 ปี รางวัลดีเด่น ได้แก่ ช้าง ช้างช้าง ผู้ประพันธ์ ตุลย์ สุวรรณกิจ รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่ ข้าวเม่าเขาแหลมผู้ประพันธ์ นวพร แซ่แต้  ไข่ของใครผู้ประพันธ์ สองขา และหัวใจดวงอุ่น ผู้ประพันธ์ เกวลิน ชุ่มช่างทอง






หนังสือสำหรับเด็กอายุ 6-11 ปีประเภทบันเทิงคดี รางวัลดีเด่น ได้แก่ ตุ๊กตาแห่งความทรงจำ ผู้ประพันธ์ ณิชาพีชวณิชย์ รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่ ของขวัญแด่พระราชาผู้ประพันธ์ นำบุญ นามเป็นบุญ ท้องนา..ฟ้าสีสวย ผู้ประพันธ์ ส.พุ่มสุวรรณและพ่อครูครับ..ผมจะเป็นเด็กดี ผู้ประพันธ์ โชติ ศรีสุวรรณ ประเภทสารคดี  รางวัลดีเด่น ไม่มีหนังสือใดสมควรได้รับรางวัล  รางวัลชมเชย มี 3 รางวัลได้แก่ ขุมทรัพย์บนผนัง ผู้ประพันธ์ อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย  เต่าต้วมเตี้ยม  ผู้ประพันธ์ ภัทรา แสงดานุช  และเห็ดฟาง ผู้ประพันธ์ ปรัชญา รัศมีธรรมวงศ์ 






หนังสือสำหรับเด็กวัยรุ่น ประเภทบันเทิงคดีรางวัลดีเด่น ได้แก่ อาม่าบนคอนโด ผู้ประพันธ์ ชมัยพร แสงกระจ่าง  รางวัลชมเชยมี 2 รางวัลได้แก่  ม้อนน้อยที่รัก ผู้ประพันธ์ โชติศรีสุวรรณ  และเมื่อกางปีกแล้วก็ต้องบินผู้ประพันธ์ ปะการัง  ประเภทสารคดีรางวัลดีเด่น ได้แก่ ราชาสถาน ผู้ประพันธ์ วันฉัตร ชินสุวาเวทย์ รางวัลชมเชยมี 3รางวัล ได้แก่ รักและรักษ์บางกอกน้อย ผู้ประพันธ์ ประพีร์พรรณภาณวะวัฒน์ เรื่องสะเทือนไต ผู้ประพันธ์ ปิยา วัชระสวัสดิ์ และเลห์ ลาดักห์ Little Tibet ผู้ประพันธ์ เส้นนำสายตา  และประเภทร้อยกรอง รางวัลดีเด่นไม่มีหนังสือใดสมควรได้รับรางวัล รางวัลชมเชยมี 1 รางวัลได้แก่ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง แผ่นดินหนองจอก ผู้ประพันธ์ สิทธิเดช กนกแก้ว  






หนังสือการ์ตูนและหรือนิยายภาพ  ประเภททั่วไป ไม่มีหนังสือใดสมควรได้รับรางวัล รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่ รามเกียรติ์ ปฐมบทผู้ประพันธ์ รัตนา  คชนาท อินดง อินเดีย INDIADIARY ผู้ประพันธ์ สเลดทอย และ YELLOW SUN BEGINS ผู้ประพันธ์ ชัยพรพานิชรุทติวงศ์  ประเภทสำหรับเด็ก รางวัลดีเด่น ได้แก่ เณรแก้วกับน้อยไชยา ผจญภัยโลกแฟนตาซี ตอน ตำนานไซอิ๋วผู้ประพันธ์ สวนโมกข์กรุงเทพ  รางวัลชมเชยมี3 รางวัล ได้แก่ เณรแก้วกับน้อยไชยา ผจญภัยโลกแฟนตาซี ตอนอสูรโลกล้านปี  ผู้ประพันธ์สวนโมกข์กรุงเทพ  ไทย THAILAND ผู้ประพันธ์ วิรัตน์ ยืนยงพัฒนากิจ   และพระราหุล ผู้ประพันธ์ โอม รัชเวทย์
               
หนังสือสวยงาม  ประเภทหนังสือทั่วไป รางวัลดีเด่น ได้แก่ พัดรองงานพระราชพิธีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ประพันธ์ เบญจมาส แพทอง รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่แกงไทย ผู้ประพันธ์ ญดา ศรีเงินยวง และชนิรัตน์ สำเร็จ เทวสถานมรดกวัฒนธรรมบนแผ่นดินไทยผู้ประพันธ์ กุลวดี สถิติรัต และคณะ และประยุรวงศานุสร โครงการบูรณปฏิสังขรณ์ "เขามา"วัดประยุรวงศวาส ผู้ประพันธ์ กุลวดี สถิติรัต และคณะ ประเภทสำหรับเด็ก รางวัลดีเด่น ได้แก่ รามเกียรติ์ ปฐมบท ผู้ประพันธ์ รัตนา คชนาท รางวัลชมเชยมี 3รางวัล ได้แก่ คนต่อเทียน ผู้ประพันธ์ นำบุญ นามเป็นบุญ ช้าง ช้างช้าง ผู้ประพันธ์ ตุลย์ สุวรรณกิจ และเล่นด้วยกันสนุกจัง ผู้ประพันธ์ ทิพย์วรรณ แสวงศรี
 
" สำหรับภาพรวมของหนังสือที่ส่งเข้าประกวดในปีนี้มีหนังสือได้รับรางวัลครบถ้วน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพหนังสือที่ส่งเข้าประกวดโดยมีข้อสังเกตว่าปีนี้หนังสือมีการจัดรูปเล่ม การใช้กระดาษถนอมสายตามีคุณภาพมากขึ้น รวมถึงการจัดวางองค์ประกอบของหนังสือมีความครบถ้วนซึ่งเท่ากับว่าการจัดประกวดหนังสือภาพรวมในปีนี้ได้พบนักเขียนหน้าใหม่ที่มีการพัฒนาสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ผู้ชนะการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี 2557 จะเข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ในงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 12 ในวันที่28 มี.ค.นี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์" ดร.พนม กล่าว

หนังสือดีเด่น ประจำปี 2557




วันนี้ (26ก.พ.) ที่ห้องประชุมใหญ่ หอสมุดแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้แถลงผลการประกวดหนังสือดีเด่นประจำปี 2557 โดย ดร.กมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า สพฐ.ได้จัดประกวดหนังสือดีเด่นมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี ซึ่งได้ให้ความสำคัญของหนังสือและการอ่านว่าเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาความคิดสติปัญญา ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนทุกวัย  โดยจากการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากรไทยของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าเวลาเฉลี่ยที่ใช้อ่านหนังสือนอกเวลาเรียน/หรือนอกเวลาทำงาน ของคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปจากน้อยไปหามากคืออ่าน 31 นาทีถึง 46นาทีต่อวัน หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยอ่านวันละประมาณ 39 นาทีซึ่งประเด็นนี้อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าคนไทยอ่านหนังสือมากขึ้นเท่าไหร่  แต่เป้าหมายหลักคือความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ขับเคลื่อนให้มีการผลิตหนังสือดีมีคุณภาพ และมีสาระประโยชน์เพิ่มมากขึ้น
 
ดร.พนม พงษ์ไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการพิจารณาตัดสินการประกวดหนังสือดีเด่น กล่าวว่า  คณะกรรมการมีความตั้งใจ ทุ่มเททำงานเพื่อวิเคราะห์หนังสือที่ส่งเข้าประกวดในประเด็นต่างๆด้วยความรอบคอบ และยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักวิชาการ และเกณฑ์การประกวดหนังสือ ซึ่งในปีนี้มีจำนวนหนังสือที่ผู้ผลิตหนังสือส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 473 เรื่อง และการคัดสรรหนังสือทุกประเภทที่ส่งเข้าประกวดได้ใช้วิธีระดมความคิดเห็น อภิปราย และสังเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งกลุ่มประชุมตามประเภทของหนังสือจนได้ข้อสรุปเป็นฉันทามติให้ปี 2557 มีหนังสือสมควรได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น50 เรื่อง แบ่งเป็น รางวัลดีเด่น 11 เรื่องและรางวัลชมเชย 39 เรื่อง ดังนี้ หนังสือสารคดี รางวัลดีเด่นได้แก่  รูปแบบบ้านเรือนของกลุ่มชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์ ผู้ประพันธ์ ระวิวรรณ โอฬารรัตน์มณี รางวัลชมเชย มี 3 รางวัล ได้แก่ นกน่ารักน่ารู้  ผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์คติเมื่อวัยเด็ก When I Was Yong ผู้ประพันธ์ อเนก นาวิกมูล และหน้าหนึ่งในสยาม ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ ผู้ประพันธ์ ไกรฤกษ์ นานา 






หนังสือนวนิยาย รางวัลดีเด่น ได้แก่ เรื่องจับต้นมาชนปลายผู้ประพันธ์ ชมัยพร แสงกระจ่าง รางวัลชมเชย มี 3 รางวัล ได้แก่ ผีเสื้อที่บินข้ามบึงผู้ประพันธ์ อุรุดา โควินท์  ไม้นอกกอผู้ประพันธ์ ช่อมณี และอันเกิดแต่ดวงจิตอธิษฐาน ผู้ประพันธ์ อิสราหนังสือกวีนิพนธ์  รางวัลดีเด่น ได้แก่รวมบทกวี โคลงบ้านโคลงเมือง ผู้ประพันธ์ นายทิวา รางวัลชมเชย มี 3 รางวัล ได้แก่ ผู้กลับใจ ผู้ประพันธ์ เวทิน ศันสนียเวทย์ฝากหัวใจในแผ่นดิน  ผู้ประพันธ์ นภาลัยสุวรรณธาดา และรวมบทกวีก่อนกาลจักกลายกลืน ผู้ประพันธ์ ชมพร เพชรอนันต์กุล
 
หนังสือรวมเรื่องสั้นรางวัลดีเด่น ได้แก่ ความทรงจำบางอย่างช่างรางเลือน ผู้ประพันธ์ รัชศักดิ์จิรวัฒน์ รางวัลชมเชย มี 3รางวัล ได้แก่ ชายผู้อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำ ผู้ประพันธ์ รัตนชัยมานะบุตร เสือกินคน ผู้ประพันธ์ สาคร พูลสุข และหญิงเสาและเรื่องราวอื่น ผู้ประพันธ์ กล้า สมุทรวณิช





หนังสือเด็กเล็กอายุ 3-5 ปี รางวัลดีเด่น ได้แก่ ช้าง ช้างช้าง ผู้ประพันธ์ ตุลย์ สุวรรณกิจ รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่ ข้าวเม่าเขาแหลมผู้ประพันธ์ นวพร แซ่แต้  ไข่ของใครผู้ประพันธ์ สองขา และหัวใจดวงอุ่น ผู้ประพันธ์ เกวลิน ชุ่มช่างทอง






หนังสือสำหรับเด็กอายุ 6-11 ปีประเภทบันเทิงคดี รางวัลดีเด่น ได้แก่ ตุ๊กตาแห่งความทรงจำ ผู้ประพันธ์ ณิชาพีชวณิชย์ รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่ ของขวัญแด่พระราชาผู้ประพันธ์ นำบุญ นามเป็นบุญ ท้องนา..ฟ้าสีสวย ผู้ประพันธ์ ส.พุ่มสุวรรณและพ่อครูครับ..ผมจะเป็นเด็กดี ผู้ประพันธ์ โชติ ศรีสุวรรณ ประเภทสารคดี  รางวัลดีเด่น ไม่มีหนังสือใดสมควรได้รับรางวัล  รางวัลชมเชย มี 3 รางวัลได้แก่ ขุมทรัพย์บนผนัง ผู้ประพันธ์ อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัย  เต่าต้วมเตี้ยม  ผู้ประพันธ์ ภัทรา แสงดานุช  และเห็ดฟาง ผู้ประพันธ์ ปรัชญา รัศมีธรรมวงศ์ 






หนังสือสำหรับเด็กวัยรุ่น ประเภทบันเทิงคดีรางวัลดีเด่น ได้แก่ อาม่าบนคอนโด ผู้ประพันธ์ ชมัยพร แสงกระจ่าง  รางวัลชมเชยมี 2 รางวัลได้แก่  ม้อนน้อยที่รัก ผู้ประพันธ์ โชติศรีสุวรรณ  และเมื่อกางปีกแล้วก็ต้องบินผู้ประพันธ์ ปะการัง  ประเภทสารคดีรางวัลดีเด่น ได้แก่ ราชาสถาน ผู้ประพันธ์ วันฉัตร ชินสุวาเวทย์ รางวัลชมเชยมี 3รางวัล ได้แก่ รักและรักษ์บางกอกน้อย ผู้ประพันธ์ ประพีร์พรรณภาณวะวัฒน์ เรื่องสะเทือนไต ผู้ประพันธ์ ปิยา วัชระสวัสดิ์ และเลห์ ลาดักห์ Little Tibet ผู้ประพันธ์ เส้นนำสายตา  และประเภทร้อยกรอง รางวัลดีเด่นไม่มีหนังสือใดสมควรได้รับรางวัล รางวัลชมเชยมี 1 รางวัลได้แก่ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง แผ่นดินหนองจอก ผู้ประพันธ์ สิทธิเดช กนกแก้ว  






หนังสือการ์ตูนและหรือนิยายภาพ  ประเภททั่วไป ไม่มีหนังสือใดสมควรได้รับรางวัล รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่ รามเกียรติ์ ปฐมบทผู้ประพันธ์ รัตนา  คชนาท อินดง อินเดีย INDIADIARY ผู้ประพันธ์ สเลดทอย และ YELLOW SUN BEGINS ผู้ประพันธ์ ชัยพรพานิชรุทติวงศ์  ประเภทสำหรับเด็ก รางวัลดีเด่น ได้แก่ เณรแก้วกับน้อยไชยา ผจญภัยโลกแฟนตาซี ตอน ตำนานไซอิ๋วผู้ประพันธ์ สวนโมกข์กรุงเทพ  รางวัลชมเชยมี3 รางวัล ได้แก่ เณรแก้วกับน้อยไชยา ผจญภัยโลกแฟนตาซี ตอนอสูรโลกล้านปี  ผู้ประพันธ์สวนโมกข์กรุงเทพ  ไทย THAILAND ผู้ประพันธ์ วิรัตน์ ยืนยงพัฒนากิจ   และพระราหุล ผู้ประพันธ์ โอม รัชเวทย์
               
หนังสือสวยงาม  ประเภทหนังสือทั่วไป รางวัลดีเด่น ได้แก่ พัดรองงานพระราชพิธีในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ประพันธ์ เบญจมาส แพทอง รางวัลชมเชยมี 3 รางวัล ได้แก่แกงไทย ผู้ประพันธ์ ญดา ศรีเงินยวง และชนิรัตน์ สำเร็จ เทวสถานมรดกวัฒนธรรมบนแผ่นดินไทยผู้ประพันธ์ กุลวดี สถิติรัต และคณะ และประยุรวงศานุสร โครงการบูรณปฏิสังขรณ์ "เขามา"วัดประยุรวงศวาส ผู้ประพันธ์ กุลวดี สถิติรัต และคณะ ประเภทสำหรับเด็ก รางวัลดีเด่น ได้แก่ รามเกียรติ์ ปฐมบท ผู้ประพันธ์ รัตนา คชนาท รางวัลชมเชยมี 3รางวัล ได้แก่ คนต่อเทียน ผู้ประพันธ์ นำบุญ นามเป็นบุญ ช้าง ช้างช้าง ผู้ประพันธ์ ตุลย์ สุวรรณกิจ และเล่นด้วยกันสนุกจัง ผู้ประพันธ์ ทิพย์วรรณ แสวงศรี
 
" สำหรับภาพรวมของหนังสือที่ส่งเข้าประกวดในปีนี้มีหนังสือได้รับรางวัลครบถ้วน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพหนังสือที่ส่งเข้าประกวดโดยมีข้อสังเกตว่าปีนี้หนังสือมีการจัดรูปเล่ม การใช้กระดาษถนอมสายตามีคุณภาพมากขึ้น รวมถึงการจัดวางองค์ประกอบของหนังสือมีความครบถ้วนซึ่งเท่ากับว่าการจัดประกวดหนังสือภาพรวมในปีนี้ได้พบนักเขียนหน้าใหม่ที่มีการพัฒนาสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ผู้ชนะการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี 2557 จะเข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ในงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 12 ในวันที่28 มี.ค.นี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์" ดร.พนม กล่าว

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

10 วิธีฝึกให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน

การที่จะฝึกให้เด็กหนึ่งคนนั่งลงและตั้งใจอ่านหนังสือเป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะเมื่อลูกมีสิ่งอื่นล่อใจ เช่น คอมพิวเตอร์ เกม ทีวี หรือเมื่อลูกอยากออกไปเล่นข้างนอก เรามีถึง 10 วิธีที่จะช่วยจูงใจให้ลูกที่ไม่ชอบอ่านหนังสือของคุณให้มีนิสัยรักการอ่านมาฝาก และน่าจะช่วยให้เขามีนิสัยรักการอ่านไปตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้
kid and books 10 วิธีฝึกให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน
ให้ลูกมีความสุขกับการอ่านหนังสือ
ผู้คนมักคิดว่าส่วนมากแล้ว คนที่มีอายุเท่านั้นจะเป็นที่หมกมุ่นกับการอ่านหนังสือ คนรุ่นหลังมักใช้เวลากับการเล่นเกมหรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เล่นบน iPod  iPad หรืออุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งล่อใจลูกคุณมากแค่ไหน แต่คุณก็สามารถส่งเสริมให้ลูกมีนิสัยรักการอ่านได้
มีหลายวิธีที่คุณสามารถใช้ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านหนังสือให้ลูกได้ ในบทความนี้ เรามี 10 เคล็ดลับมาบอกกันเพื่อให้คุณเริ่มต้นเพื่อแก้ปัญหาลูกไม่ชอบอ่านหนังสือได้อย่างถูกต้อง:
1. วิธีที่น่าจะได้ผลที่สุดคือให้ลูกได้ใช้เวลาอยู่กับหนังสือตั้งแต่เขาอายุยังน้อย จากนั้นก็ค่อย ๆ เริ่มปลูกฝังการอ่านให้กับลูกโดยที่ไม่มีสิ่งรบกวนอื่น เช่น ทีวี โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ให้ลูกคุณได้เลือกหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน จากนั้น เขาจะสร้างนิสัยรักการอ่านขึ้นมาเอง
2. ทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น หากคุณเองก็มีนิสัยรักการอ่านหรือคุณอ่านหนังสือทุกครั้งที่คุณมีเวลาและมีโอกาส ลูกน้อยของคุณก็จะเลียนแบบนิสัยรักการอ่านของคุณ
3. หาหนังสือแนวที่ลูกชอบมาให้เขาให้มากเท่าที่จะทำได้ เพราะการได้อ่านหนังสือแนวที่ตนชอบจะช่วยจุดประกายนิสัยรักการอ่านได้
4. สอนให้ลูกอ่านสิ่งอื่น ๆ ด้วย ไม่เฉพาะในหนังสือ เช่น สอนให้เขาอ่านฉลากข้างกล่อง หรือป้ายโฆษณา เป็นต้น
5. ทำให้การอ่านเป็นเรื่องสนุก! พ่อแม่ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสือให้ลูกฟังตอนที่ลูกยังเล็กอยู่ แต่พอลูกโตขึ้นพวกเขาก็อ่านน้อยลง มีงานวิจัยพบว่า เด็กที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเขาโตขึ้นและพ่อแม่เลิกอ่านหนังสือให้ฟัง พวกเขาจะคิดถึงเวลาที่พ่อหรือแม่อ่านหนังสือให้ฟัง ดังนั้น แม้ลูกคุณจะโตแล้ว คุณก็สามารถอ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ โดยอาจสลับให้แต่ละคนในครอบครัวเป็นคนอ่านให้สมาชิกคนอื่น ๆ ฟัง
6. ให้หนังสือเป็นของขวัญกับลูก การที่พ่อแม่ให้หนังสือกับลูกจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับเขา โดยเฉพาะหนังสือที่เขาอยากได้ การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างนิสัยรักการอ่านให้ลูกได้ และจะทำให้ทั้งคุณและลูกมีความสุขที่เห็นเขาได้ไปนั่งในมุมโปรดเพื่ออ่านหนังสือที่เขาชื่นชอบ
7. พยายามส่งเสริมให้ลูกรักการอ่านให้มาก ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่เขาเพิ่งอ่านไป การทำเช่นนี้จะช่วยสร้างนิสัยรักการอ่านได้ การได้พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับหนังสือที่เขาอ่านอย่างเป็นกันเอง แสดงถึงความเอาใจใส่และความสนใจที่คุณมีต่อหนังสือของเขาด้วย
8. หากลองวิธีอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วลูกยังคงไม่ชอบอ่านหนังสือ การใช้สิ่งล่อใจลูกให้อ่านหนังสือก็ไม่ผิดอะไร พ่อแม่บางคนใช้วิธีนี้เพื่อจูงใจให้ลูกอ่านหนังสือ และพวกเขาก็รักการอ่านในที่สุดและไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนด้วย
9. การมีสิ่งกระตุ้นเป็นอีกวิธีที่ใช้ได้ผล ไม่ว่าเด็กเล็กหรือเด็กโตก็ต้องการการยอมรับในความพยายามอ่านหนังสือของพวกเขาทั้งนั้น ลองให้ดาวหรืออะไรก็ได้ที่คุณคิดว่าจะทำให้ลูกรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รางวัล ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ดีพอสมควร
10. พาลูกไปห้องสมุดหรือร้านขายหนังสือ ไปในที่ที่มีหนังสือจำนวนมากเพื่อให้ลูกได้สนุกกับการสำรวจหนังสือต่าง ๆ มากมาย


อ่านต่อ: http://th.theasianparent.com/10-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%9d%e0%b8%b6%e0%b8%81%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%99/#ixzz2u1G8tc7e

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อาหารประจำประเทศอาเซียน



อาหารอาเซียน เมนูเด็ดของ 10 อาหารประจําชาติอาเซียน


การก่อตั้งอาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประเทศสมาชิก คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม พม่า ลาว และกัมพูชา นอกจากเป็นการรวมตัวกันเพื่อช่วยพัฒนาประเทศในภูมิภาคเดียวกันแล้ว ยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอาหารการกิน

          เนื่องจากแถบอาเซียนมีทรัพยากรค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีเมนูอาหารที่น่ารับประทาน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพให้เลือกมากมาย  ดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดกับอาหารรสเลิศของประเทศต่าง ๆ ทางกระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวม อาหารอาเซียน กับ 10 เมนูเด็ดของ 10 ประเทศอาเซียน ที่ห้ามพลาดมากฝากกัน
ต้มยำกุ้ง - ประเทศไทย

1.ประเทศไทย 

          ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)  แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสำหรับรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยำกุ้ง นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี

          และเนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทำให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทำให้ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อยของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน
อาม็อก - ประเทศกัมพูชา

2.ประเทศกัมพูชา

          อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย โดยเป็นการนำเนื้อปลาสด ๆ ลวกพริกเครื่องแกง และกะทิ แล้วทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช้เนื้อปลาแล้ว อาจเลือกใช้เนื้อไก่แทนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมรับประทานปลา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของกัมพูชามีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้ปลาเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายนั่นเอง
อัมบูยัต - ประเทศบรูไน

3.ประเทศบรูไน

          อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารยอดนิยมของบรูไน มีลักษณะเด่นอยู่ที่ตัวแป้งจะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก โดยมีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก ตัวแป้งอัมบูยัตเอง ไม่มีรสชาติ แต่ความอร่อยจะอยู่ที่การจิ้มกับซอสผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น ผักสด เนื้อห่อใบตองย่าง หรือเนื้อทอด  ทั้งนี้ การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องรับประทานตอนร้อน ๆ จึงจะดีที่สุด


หล่าเพ็ด - ประเทศพม่า

4.ประเทศพม่า

          หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า โดยการนำใบชาหมักมาทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เรียกได้ว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเมี่ยงคำของประเทศไทย ซึ่งหล่าเพ็ดนี้ จะเป็นเมนูอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศพม่า โดยกล่าวกันว่า หากงานเลี้ยง หรืองานเฉลิมฉลองใด ไม่มีหล่าเพ็ด จะถือว่าการนั้นเป็นงานที่ขาดความสมบูรณ์ไปเลยทีเดียว
อโดโบ้ - ประเทศฟิลิปปินส์

5.ประเทศฟิลิปปินส์

          อโดโบ้ (Adobo) เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ ที่ผ่านการหมัก และปรุงรส โดยจะใส่น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยอบในเตาอบ หรือทอด แล้วนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ

         ในอดีตอาหารจานนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เนื่องจากส่วนผสมของอโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันอโดโบ้ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่นำมารับประทานกันได้ทุกที่ทุกเวลา

ลักซา - ประเทศสิงคโปร์

6.ประเทศสิงคโปร์

          ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า
กาโด กาโด - ประเทศอินโดนิเซีย

7.ประเทศอินโดนีเซีย

          กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยผัก และธัญพืชหลากหลายชนิด  ทั้งแครอท มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ และไข่ต้มสุกด้วย กาโด กาโดจะนำมารับประทานกับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส อาทิ รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไปนั่นเอง
สลัดหลวงพระบาง - ประเทศลาว

8. ประเทศลาว 

          สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาติกลาง ๆ ทำให้รับประทานได้ทั้งชาวตะวันออก และตะวันตก โดยส่วนประกอบสำคัญคือ ผักน้ำ ซึ่งเป็นผักป่าที่ขึ้นตามริมธารน้ำไหล และยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น  มันแกว แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม ผักกาดหอม และหมูสับลวกสุก ส่วนวิธีปรุงรสคือ ราดด้วยน้ำสลัดชนิดใส คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และถั่วลิสงคั่ว

นาซิ เลอมัก - ประเทศมาเลเซีย

9.ประเทศมาเลเซีย

          นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย โดยนาซิ เลอมัก จะเป็นข้าวหุงกับกะทิ และใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น  ไข่ต้มสุก และถั่วอบ ซึ่งนาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตอง และมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทยด้วย

ปอเปี้ยะเวียดนาม - ประเทศเวียดนาม

10.ประเทศเวียดนาม 

          เปาะเปี๊ยะเวียดนาม  (Vietnamese Spring Rolls) ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเวียดนาม ความอร่อยของเปาะเปี๊ยะเวียดนาม อยู่ที่การนำแผ่นแป้งซึ่งทำจากข้าวจ้าวมาห่อไส้ ซึ่งอาจจะเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ โดยนำมารวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม และนำมารับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย ให้เติมตามใจชอบ และบางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอย่างอื่นเพิ่มด้วย  

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

แนะนหนังสือน่าอ่าน

รักบริสุทธิ์ ฉบับรวมความรัก+เหรียญ  
หนังสือ รักบริสุทธิ์ ฉบับรวมความรัก+เหรียญ
รหัส : 9786169141914 000 CB
ราคาปกติ :  69.00 บาท      
รายละเอียดย่อ :
หนังสือ รักบริสุทธิ์ ฉบับรวมความรัก+เหรียญ
ความรักที่คิดจะครอบครองนั้น เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ก่อทุกข์ได้ง่าย
รายละเอียดทั้งหมด :
 หนังสือ รักบริสุทธิ์ ฉบับรวมความรัก+เหรียญ
    ความรักที่คิดจะครอบครองนั้น เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ก่อทุกข์ได้ง่าย ส่วนความรักที่คิดจะให้ คือ ความรักอันบริสุทธิ์ที่แท้จริง จะไม่ก่อโทษใดๆ แก่ใจเราเลย...

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557




User Rating:  / 8 
PoorBest 
การดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อาการแพ้ท้องจะมีมากใน 3 เดือนแรก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เมื่อตื่นนอน จะมีอาการมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน บางคนอาจมีอาการมาก รับประทานอาหารไม่ได้ หลังตื่นนอนตอนเช้า ควรดื่มน้ำผลไม้ และรับประทานขนมปังกรอบทันที จะทำให้รู้สึกดีขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุนจัด เพราะอาจทำให้คลื่นไส้มากขึ้น นอกจากนี้อาจอยากรับประทานอาหารแปลกๆ รสเปรี้ยว ซึ่งสามารถรับประทานได้
อาการปวดหลังพบได้บ่อยเกือบครึ่งหนึ่งของสตรีมีครรภ์ โดยมักปวดที่หลังส่วนล่าง ระหว่างก้นทั้งสองข้าง ร้าวลงไปที่ต้นขา มักเป็นช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ การยืนนานๆ ในท่าที่ไม่ถูกต้อง หรือยกของหนักเกินไป ทำให้ปวดหลังได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้ข้อกระดูก และเอ็นต่างๆ คลายตัวหลวมมากขึ้น ความแข็งแรงของข้อลดลง จึงทำให้ปวดหลังได้ ควรพยายามนอนพื้นเรียบ ใช้หมอนหนุนหลังเวลานั่ง อย่าก้มหยิบของ ควรใช้วิธีนั่งหยิบแทน และควรใส่รองเท้าส้นเตี้ย อาจให้สามีช่วยนวดหลังเบาๆ นอกจากจะคลายปวดแล้ว ยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ด้วย
อาหาร
  1. คุณแม่จะรับประทานอาหารได้ดีขึ้น เมื่ออาการแพ้ท้องหายไป
  2. ควรเลือกอาหารที่มีประโยชน์ ประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ นม ผัก ผลไม้
  3. ไม่ควรรับประทานอาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล ขนมหวาน ไขมันมากเกินไป
  4. ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารดิบๆ สุกๆ ของหมักดอง ผงชูรส ชา กาแฟ เหล้า และบุหรี่
การพักผ่อน
  1. ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่จะรู้สึกเหนื่อย และอ่อนเพลียง่าย กลางคืนควรนอนหลับให้เต็มอิ่ม ประมาณ 8-10 ชั่วโมง และควรหาเวลานอนพักในตอนบ่ายอีกอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
  2. การลดจำนวนการดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ให้เหลือน้อยที่สุด ถ้าหากคุณต้องการจะดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ให้จำกัดเฉพาะในเวลาเช้า หรือตอนบ่ายต้นๆ
  3. ควรงดดื่มน้ำ หรืออาหารเหลว หรือรับประทานอาหารอิ่มจนเกินไปก่อนที่จะเข้านอนสองสามชั่วโมง แต่ขอให้แน่ใจว่าคุณได้รับสารอาหาร และน้ำอย่างเพียงพอตลอดวัน การรับประทานอาหารมื้อเช้า และเที่ยงหนักๆ และรับประทานอาหารเย็นเบาๆ สามารถช่วยได้ และหากมีอาการคลื่นไส้นอนไม่หลับ การรับประทานขนมปังกรอบสองสามแผ่นก่อนเข้านอนอาจช่วยได้
  4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมก่อนเข้านอน แต่ให้ทำอะไรที่เบาๆ และผ่อนคลายแทน และหากเป็นตะคริวที่ขาปลุกให้ตื่นนอนในตอนกลางคืน การกดเท้าแรงๆ ลงกับผนังห้องหรือลุกขึ้นยืนอาจช่วยได้
  5. ถ้ายังนอนไม่หลับ ให้ลุกขึ้นมาหาอะไรทำ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ หรือหากิจกรรมอื่นๆ ที่เพลิดเพลินทำแทน แล้วในที่สุดก็จะเหนื่อย และนอนหลับได้เอง
  6. นอนงีบ 30-60 นาที ระหว่างวัน เพื่อชดเชยเวลานอนที่สูญเสียไป
การออกกำลังกาย
  1. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดี ร่างกายแข็งแรง เช่น เดินเล่นในที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง ทำงานบ้านเบาๆ บริหารร่างกายด้วยท่าง่ายๆ
  2. ข้อควรระวัง คือ อย่าออกกำลังกายหักโหมจนร่างกายเหนื่อย อ่อนเพลีย หรือกระทบกระเทือนท้อง
การบริหารร่างกายสำหรับคุณแม่ก่อนคลอด
  • ท่าที่ 1 ยืนตรง มือเท้าเอง เท้าแยกพอประมาณ หลังตรง หาหนังสือเล่มหนาๆ ประมาณ 1-2 เล่ม วางอยู่ระหว่างเท้า ค่อยๆ ย่อขาลงหยิบหนังสือขึ้นจากพื้น แล้วยืนขึ้น ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 2 นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือซ้ายจับเข่าขวา พยายามบิดตัวไปทางขวาช้าๆ
  • ท่าที่ 3 นอนหงายชันเข่า ยกสะโพกขึ้นจากพื้นจนตึง ค้างไว้แล้วลดลง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 4 นั่งคุกเข่าให้มือทั้งสองข้างวางบนพื้น ออกแรงโค้งหลังขึ้นขางบนจนสุดแล้วค้างไว้ ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 5 เอียงคอไปด้านซ้าย และกลับมาตรง เอียงคอไปด้านขวา และกลับมาตรง ก้มคอไปด้านหน้า และกลับมาตรง ทำซ้ำอย่างละ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 6 ยืนตรง มือทั้งสองข้างแตะไหล่หมุนไหล่เป็นวงกลม ไปข้างหลัง ทำซ้ำ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 7 ยืนตรงกางแขนทั้งสองข้างออก ก้มตัวไปข้างขวา แตะเข่าด้านข้าง ทำซ้ำข้างละ 5 ครั้ง
  • ท่าที่ 8 นอนหงาย ชันเข่าแขนตึง มือทั้งสองข้างวางบนต้นขา ออกแรงเกร็งท้องจนมือแตะเข่า ค้างไว้สักครู่ ทำซ้ำ 5 ครั้ง
การรักษาความสะอาดร่างกาย
  1. ระยะตั้งครรภ์จะรู้สึกร้อน และเหงื่อออกมาก ควรอาบน้ำให้ร่างกายสะอาดสดชื่น แต่ถ้าอากาศเย็นควรอาบน้ำอุ่น และให้ความอบอุ่นกับร่างกาย
  2. ถ้าผิวแห้งตึงให้ใช้โลชั่นทาหลังอาบน้ำ
การดูแลปาก และฟัน
  1. หญิงตั้งครรภ์มักมีปัญหาฟันผุ และเหงือกอักเสบได้ง่าย
  2. ควรแปรงฟันอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง และบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด หรือแปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร
  3. ในระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่บางท่านอาจรู้สึกว่าอยากทานอาหารแปลกๆ และส่งผลให้เหงือกอาจจะอักเสบ หรือบวมได้ และอาจรู้สึกขยับปากลำบาก จึงอาจละเลยเรื่องการรักษาสุขอนามัยภายในช่องปาก จึงส่งผลให้มีคราบสะสมภายในช่องปาก และมีโอกาสเกิดฟันผุได้มากขึ้น
  4. โรคเหงือกอักเสบในระหว่างตั้งครรภ์ หลอดเลือดฝอยในบริเวณเหงือกมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เกิดเลือดคลั่งในเหงือก และเหงือกมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง หรือที่รุนแรงกว่านั้น คือทำให้เกิดเนื้องอกที่เหงือก เหงือกมีสีแดงเข้ม และไม่เจ็บปวด ซึ่งเหงือกมีเลือดคั่งอย่างมาก และเหงือกมีเลือดออกเป็นประจำ แต่เนื้องอกหรืออาการเลือดออกดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายของการตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ตัดเนื้องอกนี้ทิ้ง นอกจากว่าจะเกิดแผลในช่องปากหรือมีปัญหาในการเคี้ยวอาหาร
  5. หากมีโรคเกี่ยวกับเยื่อหุ้มฟันอยู่แล้ว อาการอาจรุนแรงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์
  6. ฟันอาจโยกได้มากขึ้น
  7. สตรีมีครรภ์บางท่านอาจรู้สึกคลื่นไส้ และอาเจียน ส่งผลให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมา และอาจกัดกร่อนฟันได้ ปกติแล้ว ฟันที่ถูกกัดกร่อนจะเป็นซี่ที่ติดกับด้านข้างลิ้น
การดูแลเต้านม
  1. ขณะตั้งครรภ์เต้านมจะขยายขึ้น เพื่อเตรียมสร้างน้ำนมให้ลูกน้อย ควรเปลี่ยนยกทรงให้มีขนาดพอเหมาะใส่สบาย
  2. คุณแม่บางคนอาจจะมีน้ำนมไหลซึมออกมา ไม่ต้องกังวลใจ เวลาอาบน้ำให้ล้างเต้านมด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรฟอกสบู่เพราะจะทำให้ผิวแห้งมาก อาจใช้โลชั่นทานวด เมื่อรู้สึกผิวแห้งตึง หรือคัน
  3. ถ้ามีปัญหาหัวนมสั้น หัวนมบอด หรือผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลที่ฝากครรภ์ก่อนที่จะคลอด มิฉะนั้นอาจจะมีอุปสรรคต่อการให้นมลูก
การมีเพศสัมพันธ์
  1. ไม่มีข้อห้ามในผู้ตั้งครรภ์ปกติ แต่ควรงดเว้นใน 1 เดือน สุดท้ายก่อนคลอด
  2. ในรายที่เคยแท้ง ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
  3. ในรายที่มีปัญหาอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ หรือพยาบาลผู้ตรวจครรภ์
น้ำหนักตัวในระหว่างตั้งครรภ์
  1. โดยทั่วไปแพทย์มักจะแนะนำหญิงตั้งครรภ์ว่าควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ แต่ถ้ามีน้ำหนักตัวเพิ่มไม่ถึงเกณฑ์กำหนดมักจะพบว่าทารกที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าปกติ หรือทารกน้ำหนักน้อย ตัวเล็กผิดปกติ ขณะเดียวกันหญิงตั้งครรภ์ถ้ากินมากเกินไปจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมาก และทำให้เกิดปัญหาต่อการตั้งครรภ์หลายประการ เช่น ทารกตัวโตคลอดลำบาก หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมากจะทำให้เหนื่อยง่าย ปวดหลังมากขึ้น เส้นเลือดขอดมากขึ้น และทำให้แผลผ่าตัดติดช้า เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้ง่าย
  2. บางครั้งหญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากๆ มิได้หมายความว่าทารกในครรภ์จะตัวโตเสมอไป อาจจะได้ทารกน้ำหนักน้อยก็มี ทั้งนี้เนื่องจากภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสม โดยเน้นที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ การเพิ่มน้ำหนัก 10 กิโลกรัมต่อการตั้งครรภ์ เป็นน้ำหนักโดยเฉลี่ยที่ต้องพิจารณาตามรูปร่าง และขนาดตัวของหญิงตั้งครรภ์ เช่น ผู้ที่มีรูปร่างเล็ก และมีขนาดตัวก่อนการตั้งครรภ์น้อยกว่า 5 กิโลกรัม การเพิ่มของน้ำหนักตัวตลอดการตั้งครรภ์ อาจจะน้อยกว่า 10 กิโลกรัมได้ ทั้งนี้น้ำหนักที่เพิ่มจะเป็นน้ำหนักของทารก 3 กิโลกรัม และเป็นน้ำหนักของรก น้ำหล่อเด็ก เนื้อเยื่อที่ยืดขยายของเต้านม มดลูก เป็นต้น อีก 5-6 กิโลกรัม
  3. หญิงตั้งครรภ์ที่ควรจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากเป็นกรณีพิเศษ คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากเป็นกรณีพิเศษ คือผู้ที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานในขณะก่อนตั้งครรภ์ โดยในระยะไตรมาสแรกควรจะพยายามปรับให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเท่ามาตรฐาน แล้วใช้เวลาในระยะ 6 เดือนต่อมาเพิ่มน้ำหนักให้ได้เท่าที่ต้องการตลอดการตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานก่อนการตั้งครรภ์ ต้องระวังดูแลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยเลือกกินอาหารเป็นพิเศษ
  4. ระยะเวลาตลอดการตั้งครรภ์ไม่ใช่เวลาที่จะควบคุมน้ำหนักด้วยการงดอาหารอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพราะทารกจะได้พลังงานจากการเผาผลาญไขมันของหญิงตั้งครรภ์เท่านั้น แต่จะไม่ได้สารอาหารใดๆ ทั้งสิ้น หญิงตั้งครรภ์แฝดสอง หรือแฝดสาม มิได้หมายความว่าจะต้องมีน้ำหนักเพิ่มเป็นสอง หรือสามเท่าตามจำนวนทารกในครรภ์ แต่อาจจะเพิ่มน้ำหนักโดยเฉลี่ย 5 กิโลกรัมต่อทารก 1 คน โดยกินอาหารภายใต้การดูแลของแพทย์
  5. อัตราการเพิ่มของน้ำหนักตัว โดยเฉลี่ยน้ำหนักตัวของหญิงตั้งครรภ์จะมีการเพิ่มน้อยในช่วงระยะไตรมาสแรกคือประมาณ 1-2 กิโลกรัมเท่านั้น และจะมีน้ำหนักเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่สองจนถึงต้นไตรมาสที่สาม คือในอายุครรภ์ 3-8 เดือน น้ำหนักจะเพิ่มโดยเฉลี่ย 1/2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และในระยะเดือนสุดท้ายน้ำหนักจะคงที่หรือลดลงบ้างเล็กน้อยประมาณ 1/2 กิโลกรัมดังนั้นในไตรมาสที่สามน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นเพียง 2-3 กิโลกรัมเท่านั้น
การดูแลผิวพรรณขณะตั้งครรภ์
เมื่อผู้หญิงเริ่มตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสรีระ และอารมณ์ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนหลายชนิด ผิวพรรณที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมักก่อให้เกิดความกังวลใจไม่น้อย การรับรู้ถึงภาวะปกติ และไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณขณะตั้งครรภ์จะช่วยให้รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องกังวล
  1. รอยคล้ำ จะสังเกตได้ว่าบริเวณข้อพับของร่างกายมีสีเข้มขึ้นตั้งแต่รักแร้ ขาหนีบ ต้นขาด้านใน รวมถึงหัวนม และอวัยวะเพศ แต่ที่กลัวกันมากที่สุด คือ มีฝ้าขึ้นที่หน้า โดยเฉพาะคนที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ กระที่เป็นอยู่แล้วก็มักสีเข้ม และเพิ่มจำนวนมากขึ้นแต่อย่าเพิ่งกังวล รอยคล้ำต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ จางลงอย่างช้าๆ ภายหลังคลอด
  2. สิว เนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างตั้งครรภ์ มีผลต่อการทำงานของต่อมไขมันทำให้บางคนเกิดเป็นสิวเห่อขึ้นที่หน้า และตัวได้ แต่กับบางคนก่อนตั้งครรภ์เป็นสิวง่าย พอตั้งครรภ์แล้วสิวหายหน้าผ่องก็มี
  3. รอยแตกลาย เกิดขึ้นจากการยืดตัวของผิวหนังขณะตั้งครรภ์มักพบบริเวณหน้าท้อง สะโพก ก้น หน้าอกต้นขา อาจเป็นสีชมพู ม่วง หรือดำในคนผิวคล้ำ บางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วยหลังคลอดอาจจางลงได้เล็กน้อย
  4. ติ่งเนื้อสีน้ำตาลดำ มักเกิดขึ้นที่คอ รักแร้
  5. การติดเชื้อรา ที่ผิวหนังบริเวณที่มีการอับชื้น เนื่องจากคนท้องมักขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย จึงเกิดจุดอับชื้นบริเวณซอกพับที่สรีระมีการเปลี่ยนแปลงไป เช่น ใต้ราวนมรักแร้ขาหนีบเป็นสาเหตุของการติดเชื้อราแคนดิดาได้ง่าย
  6. โรคผื่นคันในคนท้อง มีลักษณะเป็นผื่นลมพิษตุ่มแดง คัน ที่ไม่ได้เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมีมักเป็นเมื่อครรภ์แก่ในช่วงสามเดือนก่อนคลอด ผื่นคันนี้อาจลามกระจายทั้งตัวได้ แต่หลังคลอดผื่นก็จะค่อยๆ จางหายไป